ให้บริการโดยคณาจารย์ เภสัชกรผู้เชี่ยวชาญด้านยาและสุขภาพ


คำชี้แจง "เว็บไซต์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการ ศึกษา การแลกเปลี่ยนความรู้ และให้ข้อมูลเรื่องยาในกรณีทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์หรือเพื่อการรักษาในกรณีที่จำเพาะเจาะจง และความเห็นสำหรับกรณีเฉพาะหนึ่ง จะไม่สามารถประยุกต์ใช้กับผู้อื่นได้โดยตรง หากมีปัญหาเรื่องโรคโปรดปรึกษาแพทย์ หากมีปัญหาเรื่องยา โปรดปรึกษาเภสัชกร หรือปรึกษาผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีนั้นด้วยตนเองเท่านั้น"

Search :
ยา PPIs

ยากลุ่ม Proton pump inhibitors แต่ละตัวต่างกันอย่างไร หากใช้แล้วยังเกิด nocturnal pain ควรเปลี่ยนเป็นยาใดแทน

[รหัสคำถาม : 636] วันที่รับคำถาม : 12 ก.ย. 67 - 00:01:48 ถามโดย : บุคลากร วิทยาศาสตร์สุขภาพ

เข้าระบบเพื่อตอบคำถาม

No : 1

ยากลุ่ม proton pump inhibitors (PPIs) ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของ proton pump หรือเอนไซม์ hydrogen/potassium triphosphatase (H+/K+ ATPase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำงานในขั้นตอนสุดท้ายของการผลิตกรดที่ parietal cell ในกระเพาะอาหาร ใช้รักษาโรคที่สัมพันธ์กับกรด ได้แก่ แผลเปื่อยกระเพาะอาหาร (gastric ulcer) แผลเปื่อยลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcer) แผลในทางเดินอาหารเนื่องจากการใช้ยาต้านอักเสบกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobactor pylori (โดยใช้ร่วมกับยาต้านจุลชีพ) โรคกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease, GERD) และหลอดอาหารอักเสบ[1] ยา PPIs ที่มีจำหน่ายในประเทศไทยในปัจจุบัน คือ omeprazole lansoprazole esomeprazole pantoprazole dexlansoprazole และ rabeprazole[2] ความแรงในการยับยั้งการหลั่งกรดของยาในกลุ่ม PPIs เรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ rabeprazole > esomeprazole > omeprazole > lansoprazole > pantoprazole[3] อย่างไรก็ตามในขนาด equivalent dose ที่แนะนำ ยาในกลุ่ม PPIs มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคใกล้เคียงกัน[1] ยาส่วนใหญ่มีระยะเวลาเริ่มออกฤทธิ์ (onset of action) ประมาณ 0.5-3.5 ชั่วโมง ยกเว้น rabeprazole ที่มีระยะเวลาเริ่มออกฤทธิ์ 1-6.5 ชั่วโมง[4] ยาในกลุ่ม PPIs มีค่าครึ่งชีวิต (half-life) ไม่ต่างกันโดยมีค่าประมาณ 1 ถึง 2 ชั่วโมง[4] แม้ว่าค่าครึ่งชีวิตของยาจะสั้น แต่ผลยับยั้งการหลั่งกรดมักอยู่ได้นานมากกว่า 24 ชั่วโมง เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างเอนไซม์ H+/K+ATPase ขึ้นใหม่ โดยมีค่าครึ่งชีวิตในการสร้างเอนไซม์ใหม่เฉลี่ยประมาณ 18 ชั่วโมง เป็นผลให้ยากลุ่ม PPIs มีประสิทธิภาพในการลดกรดที่สูงกว่าและยาวนานกว่ายายับยั้งการหลั่งกรดกลุ่ม H2 receptor antagonists ในปัจจุบันมีการพัฒนายาให้อยู่ในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ยาวนานขึ้นหรือสะดวกต่อการรับประทานมากขึ้น ตัวอย่างเช่น dexlansoprazole ในรูปแบบ delayed-release capsule ที่มีการปลดปล่อยตัวยา 2 ครั้ง ครั้งแรกที่ 1 ถึง 2 ชั่วโมง และครั้งที่ 2 ที่ 4 ถึง 5 ชั่วโมง หลังจากรับประทานยาทำให้สามารถออกฤทธิ์ได้นานกว่า 24 ชั่วโมง และอาหารไม่มีผลต่อการดูดซึมยา สามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงมื้ออาหาร[4] ยาในกลุ่ม PPIs ก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาใกล้เคียงกัน[5] การใช้ยารักษาในระยะสั้น อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ผลต่อระบบประสาท (เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ) และผลต่อระบบทางเดินอาหาร (เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องผูก ปวดท้อง ท้องอืด) การใช้ยารักษาระยะยาว อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่สำคัญ เช่น ภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ ภาวะขาดวิตามิน B12 ภาวะกระดูกพรุน และการเกิดกระดูกสะโพกและกระดูกไขสันหลังหัก เป็นต้น[5,6] ทั้ง omeprazole esomeprazole และ lansoprazole มีการเปลี่ยนแปลงยาที่ตับผ่านเอนไซม์ CYP2C19 ส่วน dexlansoprazole และ pantoprazole มีการเปลี่ยนแปลงยาที่ตับผ่านเอนไซม์ CYP3A4 และ CYP2C19 โดยมีฤทธิ์เป็น weak CYP2C19 inhibitor[1] จึงต้องระวังการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา (drug interaction) เมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นที่มีฤทธิ์เหนี่ยวนำหรือยับยั้งเอนไซม์ CYP2C19 หรือ CYP3A4

ข้อจำกัดของยากลุ่ม PPIs คือ 1) ยาไม่คงตัวในสภาวะที่เป็นกรด[1] จึงมีการออกแบบเม็ดยาให้มีการปกป้องตัวยาจากกรดในกระเพาะอาหารและไปปลดปล่อยตัวยาในลำไส้เล็ก รวมทั้งจำเป็นต้องรับประทานยาก่อนอาหารอย่างน้อย 30 นาที โดยห้ามหัก แบ่ง บด เคี้ยว หรือทำให้เม็ดยาแตก[6] 2) ยาต้องอาศัยสภาวะกรดสูงในการเปลี่ยนให้อยู่ในรูปที่ออกฤทธิ์ที่ parietal cell ดังนั้นยาจะออกฤทธิ์จับกับเอนไซม์ H+/K+-ATPase ได้ดีเฉพาะในสภาวะถูกกระตุ้นและไม่สามารถลดการหลั่งกรดในระยะพักตอนกลางคืนได้ดี[7] 3) ยามีการเปลี่ยนแปลงที่ตับผ่านเอนไซม์ CYP2C19 ซึ่งมีภาวะพหุสัณฐานของยีนทำให้มีระดับยาในร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน[8] ส่งผลให้เกิดความแปรปรวนในประสิทธิภาพการรักษาโรคระหว่างบุคคล ดังนั้นหากใช้ยาในกลุ่ม PPIs ในขนาดและระยะเวลารักษาที่เหมาะสมแล้วยังเกิดอาการปวดท้องจากการหลั่งกรดในสภาวะพักตอนกลางคืน (nocturnal pain) อาจพิจารณาแนวทางการรักษาได้ 2 แนวทาง ดังนี้

1. เพิ่มยาในกลุ่ม histamine-2 receptor antagonists[9] เช่น famotidine 40 mg/day รับประทาน ก่อนนอน เพื่อยับยั้งการจับกับ histamine-2 receptor ของ histamine ทำให้ไม่มีการกระตุ้นการหลั่งกรด ผ่านการทำงานของ H+/K+-ATPase โดยยากลุ่มนี้ไม่ต้องอาศัยกรดในการเปลี่ยนให้อยู่ในรูปออกฤทธ์ และไม่มีผลยับยั้ง CYP2C19[6]

2. เปลี่ยนกลุ่มยาจาก PPIs เป็น potassium competitive acid blockers (P-CABs) เช่น vonoprazan ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดโดยแย่ง K+ ในการเข้าจับกับเอนไซม์ H+/K+-ATPase บนผิว parietal cell ได้โดยตรงแบบผันกลับได้ (reversible)[1] มีข้อดีเหนือยากลุ่ม PPIs คือ ยามีความเสถียรในกรด มีความชอบจับกับเอนไซม์ได้ทั้งในสภาวะถูกกระตุ้นและสภาวะพัก ทำให้สามาถลดการหลั่งกรดในตอนกลางคืนได้ดี ยาออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดสูงสุดได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่รับประทาน[10] มีค่าครึ่งชีวิต 6.8 ถึง 7.9 ชั่วโมง[4] จึงรับประทานวันละครั้งได้ นอกจากนี้ยาถูกเปลี่ยนแปลงผ่านเอนไซม์ CPY3A4 เป็นหลัก[4] ซึ่งไม่มีความแตกต่างด้านภาวะพหุสัณฐานของยีนอย่างมีนัยสำคัญ[11] จึงทำให้ไม่มีความแปรปรวนในประสิทธิภาพการรักษาโรคระหว่างบุคคล

เอกสารอ้างอิง
[1]. Proton pump inhibitors. In: ClinicalKey [database on the internet]. Tempa (FL): Elsevier Inc; 2024 [cited 2024 Jun 29]. Available from: https://www.clinicalkey.com/#!/content/drug_class_overview/79-s2m.0-1217047.
[2]. MIMs online thailand. Omeprazole, esomeprazole, lansoprazole, dexlansoprazole, pantoprazole, rabeprazole. [internet]. 2024 [cited 2024 Jun 29]. Available from: https://www.mims.com.
[3]. Kirchheiner J, Glatt S, Fuhr U, Klotz U, Meineke I, Seufferlein T, Brockmöller J. Relative potency of proton-pump inhibitors-comparison of effects on intragastric pH. Eur J Clin Pharmacol. 2009 Jan;65(1):19-31. doi: 10.1007/s00228-008-0576-5. 
[4]. Facts & Comparisons. Drug fact and comparisons. St. Louis: Wolters Kluwer; 2017:2423-25.
[5]. Bryan LL, Matthew NT. Peptic ulcer disease. In: DiPiro JT, Talbert RL, Yee GC, Matzke GR, Wells BG, Posey LM, eds. Pharmacotherapy: A Pathophysiologic Approach. 9th ed. New York: McGraw-Hill Education; 2014:471-91.
[6]. Omeprazole, esomeprazole, lansoprazole, dexlansoprazole, pantoprazole, rabeprazole. Lexi-Drugs. UpToDate Lexidrug. UpToDate Inc. https.//online.lexi.com. Acessed Jul 8, 2024.
[7]. Tutuian R, Castell DO. Nocturnal acid breakthrough - approach to management. MedGenMed. 2004 Oct 26;6(4):11.
[8]. Sukasem C, Tunthong R, Chamnanphon M, Santon S, Jantararoungtong T, Koomdee N, Prommas S, Puangpetch A, Vathesatogkit P. CYP2C19 polymorphisms in the Thai population and the clinical response to clopidogrel in patients with atherothrombotic-risk factors. Pharmgenomics Pers Med. 2013 Aug 22;6:85-91. doi: 10.2147/PGPM.S42332.
[9]. Fred F. Peptic ulcer disease, diagnosis and initial treatment. In: ClinicalKey [Database on internet]. Tempa (FL): 2024 Elsevier, Inc. [cited 2024 Jun 29]. Available from:
https://www.clinicalkey.com/#!/content/derived_clinical_overview/76-s2.0-B9780323755702011425.
[10]. Hunt RH, Scarpignato C. Acid Suppression with PPIs and P-CABs: What's new?. Cure Treat Options Gastroenterol. 2018 Dec;16(4):570-590. doi: 10.1007/s11938-018-0206-y.
[11]. Sukprasong R, Chuwongwattana S, Koomdee N, Jantararoungtong T, Prommas S, Jinda P, Rachanakul J, Nuntharadthanaphong N, Jongjitsook N, Puangpetch A, Sukasem C. Allele frequencies of single nucleotide polymorphisms of clinically important drug-metabolizing enzymes CYP2C9, CYP2C19, and CYP3A4 in a Thai population. Sci Rep. 2021 Jun 11;11(1):12343. doi: 10.1038/s41598-021-90969-y.

วันที่ตอบ : 19 ก.ย. 67 - 12:35:21




พัฒนาระบบโดย ภานุชญา มณีวรรณ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110