ให้บริการโดยคณาจารย์ เภสัชกรผู้เชี่ยวชาญด้านยาและสุขภาพ


คำชี้แจง "เว็บไซต์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการ ศึกษา การแลกเปลี่ยนความรู้ และให้ข้อมูลเรื่องยาในกรณีทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์หรือเพื่อการรักษาในกรณีที่จำเพาะเจาะจง และความเห็นสำหรับกรณีเฉพาะหนึ่ง จะไม่สามารถประยุกต์ใช้กับผู้อื่นได้โดยตรง หากมีปัญหาเรื่องโรคโปรดปรึกษาแพทย์ หากมีปัญหาเรื่องยา โปรดปรึกษาเภสัชกร หรือปรึกษาผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีนั้นด้วยตนเองเท่านั้น"

Search :
ยาลดไข้สำหรับผู้ป่วยโรคตับ

หากคนไข้มะเร็งตับ ไม่มีแพ้ยา ต้องการยาลดไข้ สามารถเลือกจ่ายยาพาราเซตามอล 325 ม.ก. หรือ ไอบูโพรเฟน 200 ม.ก. ได้หรือไม่ หากไม่ได้ทั้งคู่ สามารถแนะนำยาอื่นๆเพิ่มเติมได้หรือไม่

[รหัสคำถาม : 570] วันที่รับคำถาม : 09 ม.ค. 67 - 19:35:37 ถามโดย : บุคลากร วิทยาศาสตร์สุขภาพ

เข้าระบบเพื่อตอบคำถาม

No : 1

อาการไข้ เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อการเพิ่มขึ้นของสารอักเสบ prostaglandin E2 (PGE2) ผ่านการกระตุ้นโดยการติดเชื้อหรือสิ่งกระตุ้นอื่น ๆ ทำให้รบกวนการทำงานของสมองส่วนไฮโพธาลามัสในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งสามารถรักษาด้วยยาและไม่ใช้ยา สำหรับการรักษาด้วยยาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ ยาพาราเซตามอล และยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน เป็นต้น[1]
...
ไอบูโพรเฟน เป็นยาในกลุ่ม NSAIDs ออกฤทธิ์ลดการสร้าง PGE2 ผ่านการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ cyclooxygenase (COX) แบบไม่จำเพาะ ส่งผลให้ ibuprofen สามารถยับยั้งทั้ง COX-1 และ COX-2 ซึ่งผลจากการยับยั้ง COX-1 ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เสี่ยงเลือดออกได้ง่ายจากการรบกวนการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด [2] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยโรคตับที่มีการสร้างโปรตีนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการแข็งตัวของเลือด (coagulation factors) ลดลงจากตัวโรคทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ [3]
...
สำหรับยาพาราเซตามอลนั้น มีกลไกการออกฤทธิ์ยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าสามารถลดปริมาณสารอักเสบ ทำให้สมองส่วนไฮโพธาลามัสสามารถทำงานได้ตามปกติ ซึ่งยาถูกทำลายที่ตับเป็นหลัก จึงเกิดความกังวลในการใช้ในคนไข้โรคตับ อย่างไรก็ตามจากสืบค้นข้อมูลพบว่าสามารถใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับบกพร่องโดยใช้ยาขนาดไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน เพื่อลดโอกาสการเกิดพิษจากการทำลายยาลดลงในผู้ป่วยโรคตับ [4-6]
...
การศึกษา prospective parallel controlled study ของ McGill ในปี 2022 [7] ซึ่งศึกษาการใช้ยาพาราเซตามอลระยะสั้นในผู้ป่วยโรคตับแข็งไม่รุนแรง (compensated cirrhosis) จำนวน 12 คน เทียบกับคนปกติ จำนวน 12 คน พบว่า การใช้ยาพาราเซตามอลขนาด 650 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน มีความปลอดปลอดภัยในผู้ป่วยโรคตับแข็ง เมื่อพิจารณาระดับ biomarker ที่แสดงถึงการบาดเจ็บของตับ พบว่าในวันที่ 3 ค่า glutamate dehydrogenase และ keratin 18 สูงขึ้นกว่า baseline ในกลุ่มผู้ป่วยโรคตับแข็ง (p=0.030 และ 0.006 ตามลำดับ) แต่ในวันที่ 5 ไม่พบความต่าง
...
สำหรับผลการศึกษาทางเภสัชจลนศาสตร์โดยพิจารณาจาก phase II metabolites ของยาพาราเซตามอล ได้แก่ acetaminophen-glucuronide (APAP-glucuronide) acetaminophen-sulfate (APAP-sulfate) serum acetaminophen protein adducts (serum APAP-protein adducts) และอัตราการกำจัดยาพาราเซตามอล ณ วันที่ 5 หลังได้รับได้ยาครั้งสุดท้าย พบว่าระดับ APAP-Gluc สูงสุดในเลือดผู้ป่วยโรคตับแข็ง เกิดช้ากว่าคนปกติ 2 ชั่วโมง (p=0.0336) และครึ่งชีวิตของ APAP-Sluf นานกว่าปกติ 0.23 ชั่วโมง (p=0.0215) แสดงให้เห็นถึงความบกพร่องของการสร้างและกำจัดยาในกลุ่มผู้ป่วยโรคตับแข็ง
...
จากข้อมูลทั้งหมด สนับสนุนว่าผู้ป่วยโรคตับสามารถใช้ยาพาราเซตามอลขนาดต่ำ ในระยะเวลาสั้น ๆ หรือน้อยกว่า 1 สัปดาห์ได้อย่างปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม NSAIDs เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้สามารถรักษาอาการไข้ด้วยวิธีการรักษาแบบไม่ใช้ยาร่วมด้วยได้ เช่น การพักผ่อนและดื่มน้ำให้เพียงพอ การเช็ดตัวเพื่อลดอุณหภูมิ เป็นต้น [8] อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้ยาพาราเซตามอลเกิน 2 กรัมต่อวัน และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกิน 5 วัน เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดพิษต่อตับได้มากขึ้น หากใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของอาการอย่างละเอียด
...
เอกสารอ้างอิง
[1]. Aronoff DM, Neilson EG. Antipyretics: mechanisms of action and clinical use in fever suppression. Am J Med. 2001 Sep;111(4):304-15.
[2]. Bavarian R, Brooks AK. Pain management. In. Halter JB, Ouslander JG, Studenski S, High KP, Asthana S, Supiano MA, Ritchie CS, Schmader K, eds. Hazzard's geriatric medicine and gerontology [book on the internet]. 8th ed. McGraw-Hill Education; 2022 [cited July 13, 2024]; Available from: https://accessmedicine.mhmedical.com/content.aspx?bookid=3201§ionid=266877785.
[3]. Patrick G, Northup HC, Stephen HC. Coagulation in liver disease: a guide for cllinicial. Journal of clinical gastroenterology and hepatology. 2013;11:1064-74.
[4]. Kumar M, Panda D. Role of supportive care for terminal stage hepatocellular carcinoma. Journal of clinical and experimental hepatology. 2014 Aug;4(3):S130-139.
[5]. European Association for the Study of the Liver. EASL clinical practice guidelines: management of hepatocellular carcinoma. Journal of hepatology. 2018;69:182–236.
[6]. Lewis JH, Stine JG. Review article: prescribing medications in patients with cirrhosis - a practical guide. Aliment Pharmacol Ther. 2013 Jun;37(12):1132-56. doi: 10.1111/apt.12324. Epub 2013 May 3. PMID: 23638982.
[7]. McGill MR, James LP, McCullough SS, Moran JH, Mathews SE, Peterson EC, et al. Short-term safety of repeated acetaminophen use in patients with compensated cirrhosis. Hepatol Commun. 2022 Feb;6(2):361-373. doi: 10.1002/hep4.1810. Epub 2021 Aug 25. PMID: 34558847; PMCID: PMC8793989.
[8]. Dinarello CA, Porat R. Pathophysiology and treatment of fever in adults. In: Post TW, ed. Uptodate. Waltham, MA: Wolters Kluwer; 2022 [cited July 13, 2024]. Available from: https://www.uptodate.com.

วันที่ตอบ : 01 ส.ค. 67 - 13:30:49




พัฒนาระบบโดย ภานุชญา มณีวรรณ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110