โรคมือเท้าปาก (Hand Foot Mouth Disease) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่มเอ็นเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71) และค็อกแซกกีไวรัส (Coxsackievirus) สายพันธุ์ group A, type 1-10, 16 (พบบ่อย) และ 22 มักพบการระบาดมากในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี[4] สามารถติดต่อผ่านทางสัมผัสสารคัดหลั่ง และการรับเชื้อไวรัสจากทางเดินอาหารหรือทางเดินหายใจส่วนบนผ่านทางปาก ผู้ป่วยมักจะมีระยะฟักตัวระหว่าง 3-6 วัน[2] นอกจากนี้เชื้อไวรัสสามารถติดอยู่บนของเล่น อาหาร หรือวัตถุที่เด็กสัมผัส ทำให้การติดเชื้อได้ง่ายในกลุ่มเด็กเล็ก และสามารถติดต่อกันได้โดยไม่แสดงอาการ[7]
อาการแสดงของโรค
ผู้ที่ติดเชื้อมักมีอาการไข้ เจ็บปาก น้ำลายไหล รับประทานอาหารได้น้อย มีผื่นเป็นจุดแดงหรือตุ่มน้ำใสที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รอบก้นและอวัยวะเพศ อาจมีผื่นตามลำตัว แขนและขาได้ มักมีอาการประมาณ 7-10 วัน[1]ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง และสามารถหายป่วยได้เอง หรือพบแพทย์เพื่อทำรักษาตามอาการร่วมับการสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น หากมีไข้สูง ซึม ไม่ยอมดื่มน้ำหรือทานอาหาร มีอาการอาเจียนร่วมด้วย เหนื่อยหอบ ควรรีบมาพบแพทย์ทันที[3]
สามารถป้องกันได้อย่างไร[1][5]
- สอนวิธีการล้างมือที่ถูกต้องให้แก่เด็กๆ และหมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะหลังการใช้ห้องน้ำ การไอ จามหรือเช็ดจมูก
- รักษาความสะอาดของน้ำ อาหารและสิ่งของที่เด็กอาจนำเข้าปาก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าหากยังไม่ได้ล้างมือ โดยเฉพาะตา จมูก และปาก
- ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวสิ่งของที่สัมผัสบ่อย เช่น ของเล่น ลูกบิดประตู
- หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม หลอดดูด ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดที่มีเด็กอยู่มาก เช่น สนามเด็กเล่น โดยเฉพาะในช่วงทีมีการระบาดของโรค เนื่องจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
วัคซีนป้องกัน
ปัจจุบันวัคซีนป้องกันโรคนี้ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเสริมภูมิคุ้มกันโรคที่มีประสิทธิภาพ โดยวัคซีนที่ใช้คือ Enterovirus type 71 vaccine หรือ EV71 โดยแนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 6 เดือนถึงไม่เกิน 6 ปี จำนวน 2 ครั้ง เว้นระยะห่างฉีดกัน 1 เดือน วัคซีนชนิดนี้สามารถป้องกันได้เฉพาะการติดเชื้อ Enterovirus type 71 แต่ไม่สามารถป้องกันโรคมือเท้าปากที่เกิดจากเชื้อเอนเทอโรไวรัสสายพันธุ์อื่นได้ เช่น coxsakievirus A16 เป็นต้นทั้งนี้หากมีโรคประจำตัว หรือแพ้ยา ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีนทุกครั้ง[6]
เอกสารอ้างอิง
[1]. CDC. About hand, foot, and mouth disease [Internet]. Hand, Foot, and Mouth Disease (HFMD). 2567 [เข้าถึงเมื่อ 2 กันยายน 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hand-foot-mouth/about/
[2]. Guerra AM, Orille E, Waseem M. Hand, Foot, and Mouth Disease. [Updated 2023 Mar 4]. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2024 Jan-. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK431082/11
[3]. NHS. Hand, foot and mouth disease [Internet]. 2567 [เข้าถึงเมื่อ 2 กันยายน 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://www.nhs.uk/conditions/hand-foot-mouth-disease/
[4]. กรมควบคุมโรค. มือเท้าปาก (Hand, Foot and Mouth Disease (HFM)) [Online]. 2567[เข้าถึงเมื่อ 2 กันยายน 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=11
[5]. สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี. กรมการแพทย์ชวนผู้ปกครอง ทำความรู้จักและป้องกัน “ โรค มือ เท้า ปาก ” [online]. 2563 [เข้าถึงเมื่อ 2 กันยายน 2567]. เข้าถึงได้จาก https://www.childrenhospital.go.th/8868/ บริการสำหรับประชาชน/infographic/กรมการแพทย์ชวนผู้ปกครอง-ทำความรู้จักและป้องกัน-โรค-มือ-เท้า-ปาก%2F
[6]. สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย [Online]. 2567 [เข้าถึงเมื่อ 2 กันยายน 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://www.pidst.or.th/A1406.mobile
[7]. สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. โรคมือเท้าปาก [Online]. 2563 [เข้าถึงเมื่อ 2 กันยายน 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://www.pidst.or.th/A297.html
บทความโดย
อาจารย์ ภก.นันทพงศ์ บุญฤทธิ์ และนักศึกษาเภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
--------------------------------------------------------------------------
©2024 by DICRXPSU -- This work is licensed under CC BY-NC 4.0
การนำบทความนี้ไปเผยแพร่ หรือการคัดลอกส่วนใดส่วนหนึ่งของบทความกรุณาอ้างอิงหรือขออนุญาตก่อนการเผยแพร่